tag:blogger.com,1999:blog-80453535099916660192024-03-04T20:41:07.851-08:00ต้นปาล์มกฤติกา ลักษโณสุรางค์http://www.blogger.com/profile/17448141565670676609noreply@blogger.comBlogger7125tag:blogger.com,1999:blog-8045353509991666019.post-30205365275440512512009-06-26T01:11:00.000-07:002009-06-26T01:18:18.898-07:00แผนการสอน วิชา พลังงานและสิ่งแวดล้อมหน่วยการเรียนรู้ที่ 2<br />ชีวิตและสิ่งแวดล้อม แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5<br />ตอนที่ 2 ประชากรและทรัพยากรธรรมชาติ<br />เวลา 7 ชั่วโมง<br /><br />สาระสำคัญ<br />ดิน น้ำ อากาศ สัตว์ป่า ป่าไม้ และพลังงาน เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญและจำเป็น<br />ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ปัจจุบันการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรอย่างรวดเร็วทำให้มนุษย์มีความจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น มนุษย์จึงนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาพัฒนาการใช้สิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ปริมาณของทรัพยากรธรรมชาติลดลง นอกจากนี้การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่เห็นคุณค่า ย่อมก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมจนทำให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสื่อมสภาพลง รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ด้วย ดังนั้นเราจึงต้องทำการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้วยการให้ความรู้และสร้างความตระหนักให้ทุกคนเห็นคุณค่าของการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สิ่งเหล่านี้ดำรงสภาพและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนตลอดไป<br />ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง<br />1. สำรวจ ทดลอง และอธิบายการเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากร<br />2. สำรวจวิเคราะห์และอธิบายเกี่ยวกับสภาพปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น<br />3. เสนอแนวคิดในการดูแลรักษาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน<br />4. อาสาสมัครเป็นกลุ่มร่วมป้องกันและเฝ้าระวังทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น<br />เนื้อหาสาระ<br />- ประชากรมนุษย์<br />- การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ<br />- การพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม<br />- การพัฒนาที่ยั่งยืน<br />กระบวนการจัดการเรียนรู้<br />ครูตรวจสอบความรู้พื้นฐานเดิมของนักเรียน โดยให้ทำแบบทดสอบก่อนเรียน แล้วแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ ก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้<br /><br />การจัดการเรียนรู้ครั้งที่ 13 ประชากรมนุษย์และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงประชากรมนุษย์ต่อ ทรัพยากรธรรมชาติ เวลา 2 ชั่วโมง<br />จุดประสงค์การเรียนรู้<br />1. อธิบายการเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากรได้<br />2. อธิบายผลกระทบของการเพิ่มประชากรต่อทรัพยากรธรรมชาติได้<br />3. อธิบายเกี่ยวกับสภาพปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นได้<br />ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน<br />ครูสนทนากับผู้เรียนเกี่ยวกับจำนวนประชากรของเมืองไทย อาจจะเน้นไปที่การกระจายตัวของ<br />ประชากร และความหนาแน่นของประชากร โดยเปรียบเทียบระหว่างชุมชนเมืองและชนบท เพื่อ<br />เชื่อมโยงไปสู่การจัดการเรียนรู้ เรื่อง ประชากรมนุษย์และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงประชากร<br />มนุษย์ต่อทรัพยากรธรรมชาติ<br />ขั้นสอน<br />จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้<br />1. ขั้นสร้างความสนใจ<br />1) ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับความหมายของประชากร โดยตั้งคำถามเพื่อนำไปสู่ประเด็นการอภิปราย ดังนี้<br />– นักเรียนคิดว่าประชากรหมายถึงอะไร<br />– คำว่าประชากรสามารถใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เช่น แมลงปอ นกปากห่าง<br />ต้นข้าวโพดหรือผักตบชวาได้หรือไม่ อย่างไร<br />– การบอกจำนวนประชากรจะต้องระบุอะไรบ้าง<br />2) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตอบคำถามและแสดงความคิดเห็น<br />2. ขั้นสำรวจและค้นหา<br />1) แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 3-5 คน ศึกษาใบงานที่ 15 หรือกิจกรรมที่ 15 เรื่อง ผลกระทบของการเพิ่มประชากรต่อทรัพยากรธรรมชาติ ในหนังสือเรียน<br />2) ครูซักถามขั้นตอนในการปฏิบัติกิจกรรม และอธิบายสิ่งที่นักเรียนยังไม่เข้าใจ<br />3) นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาสถิติประชากรของประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2454-2547 ตามประเด็นการศึกษาในกิจกรรมที่ 15 แล้วร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจาก<br />การเพิ่มประชากรต่อทรัพยากรธรรมชาติ และผลกระทบด้านอื่น ๆ ตลอดจนร่วมกันหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากการเพิ่มประชากร<br />3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป<br />1) นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาอภิปรายผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน<br />2) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลการปฏิบัติกิจกรรม ซึ่งอาจจะได้ข้อสรุป ดังนี้<br />– การเพิ่มประชากรไทยในระหว่างปี พ.ศ. 2545-2547 แต่ละช่วงมีลักษณะ<br />การเพิ่มที่แตกต่างกัน คือ ในช่วงแรก (ปี พ.ศ. 2454-2490) จะมีการเพิ่มประชากรอย่างช้า ๆ เนื่องจากมีอัตราการตายสูง เพราะการแพทย์และการสาธารณสุขยังไม่เจริญ แต่ช่วงปี พ.ศ. 2491-2513 ประชากรจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์และการสาธารณสุขมากขึ้น ทำให้อัตราการตายน้อยลงและอัตราการเกิดสูง เพราะรัฐบาลส่งเสริมให้มีบุตรเพิ่มมากขึ้น ส่วนช่วงปี พ.ศ. 2514-2547 นั้น รัฐบาลนำนโยบายการส่งเสริมการวางแผนครอบครัวมาใช้ ทำให้อัตราการเพิ่มของประชากรเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ<br />– การเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วมีผลทำให้เกิดปัญหาด้านต่าง ๆ ตามมา ดังนี้<br />(1) ปัญหาการบริโภค<br />(2) ปัญหาการประกอบอาชีพ<br />(3) ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ<br />– แนวทางในการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากการเพิ่มประชากร มีดังนี้<br />(1) ส่งเสริมการวางแผนครอบครัว<br />(2) รักษาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ<br />(3) รู้จักใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า จัดการอย่างถูกวิธี<br />(4) ให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์<br />3) ครูอธิบายเนื้อหาในหนังสือเรียนเพิ่มเติม แล้วให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม<br />4. ขั้นขยายความรู้<br />ครูให้นักเรียนได้ดูวีดิทัศน์เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดจากการเพิ่มประชากร<br />5. ขั้นประเมิน<br />1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใด<br />บ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ<br />2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการ<br />แก้ไขอย่างไรบ้าง<br />3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์<br />4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น<br />– ประชากรไทยระหว่างช่วง พ.ศ. 2491-2513 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากสาเหตุใด<br />– รัฐบาลใช้นโยบายอะไรในการลดอัตราการเพิ่มของประชากร<br />– การเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วทำให้เกิดปัญหาใดตามมาบ้าง<br />ขั้นสรุป<br />ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปสาระสำคัญ เรื่อง ประชากรมนุษย์และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงประชากรมนุษย์ต่อทรัพยากรธรรมชาติ จากการปฏิบัติกิจกรรมและที่ได้เรียนรู้<br /><br /><br />การจัดการเรียนรู้ครั้งที่ 14 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เวลา 3 ชั่วโมง<br />จุดประสงค์การเรียนรู้<br />1. อธิบายเกี่ยวกับสภาพปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นได้<br />2. เข้าใจหลักการและแนวคิดในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม<br />3. บอกแนวทางในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม<br />4. เสนอแนะแนวทางการร่วมมือกับชุมชนในการวางแผนแก้ปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นกับระบบนิเวศที่นักเรียนอาศัยอยู่ได้<br />ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน<br />1. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทั่วไปในท้องถิ่นที่นักเรียนอาศัยอยู่ จากนั้น<br />ตั้งคำถามเพื่อนำไปสู่ประเด็นอภิปราย ดังนี้<br />– ในชุมชนที่นักเรียนอาศัยอยู่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมอะไรบ้าง<br />– นักเรียนคิดว่าจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นได้อย่างไร<br />2. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตอบคำถามและแสดงความคิดเห็น เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การจัดการ<br />เรียนรู้ เรื่อง การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม<br />ขั้นสอน<br />จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้<br />1. ขั้นสร้างความสนใจ<br />ครูแนะนำนักเรียนว่าต่อไปจะได้ปฏิบัติกิจกรรม โดยจะให้นักเรียนสมมติบทบาทตัวเองว่าเป็น<br />พัฒนากรหรือนักพัฒนาชุมชน แล้วลองวางแผนกันว่าจะแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนอย่างไร<br />2. ขั้นสำรวจและค้นหา<br />1) แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 4-5 คน ศึกษาใบงานที่ 16 หรือกิจกรรมที่ 16 เรื่อง พัฒนากร–พัฒนาการ ในหนังสือเรียน<br />3) นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศของชุมชนที่<br />นักเรียนอาศัยอยู่ แล้วเลือกมาศึกษา 1 ปัญหา โดยไม่ให้ซ้ำกับกลุ่มอื่น แล้วให้นักเรียนศึกษาตัวอย่าง<br />โครงการในหนังสือเรียน<br />4) นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนการดำเนินงานตามขั้นตอนในหนังสือเรียน จากนั้นนำมาปรึกษาครู โดยครูจะต้องพิจารณาความเหมาะสมและต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนด้วย แล้วจึงให้นักเรียนแต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่วางแผนไว้<br />3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป<br />1) นักเรียนแต่ละกลุ่มนำผลที่ได้จากการแก้ปัญหามารายงานหน้าชั้นเรียน จากนั้นครูและ<br />นักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม<br />2) ครูถามคำถามเพื่อนำไปสู่การอภิปราย ดังนี้<br />– จากการสำรวจสภาพปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนที่นักเรียนอาศัยอยู่ มีลักษณะเป็นอย่างไร<br />– กิจกรรมใดบ้างของประชากรที่อาศัยอยู่ในชุมชน ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และปัญหาสิ่งแวดล้อม<br />– นักเรียนแก้ไขปัญหาอย่างไร และสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้หรือไม่<br />– นักเรียนคิดว่าใครบ้างที่ควรจะร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้<br />3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและสรุปผลการอภิปราย ซึ่งอาจจะได้ข้อสรุป ดังนี้<br />– ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยส่วนใหญ่นั้นเกิดจากการกระทำของ<br />มนุษย์ ทั้งนี้เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว ทำให้มีความต้องการปัจจัยต่าง ๆ เพื่อ<br />การดำรงชีพ จึงมีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งการใช้ทรัพยากรอย่างไม่ระมัด-<br />ระวัง มีการปล่อยของเสียที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ ไปสู่สิ่งแวดล้อม จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหา<br />สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตามมา ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน เช่น การเน่าเสียของแหล่งน้ำ มลพิษทางอากาศ และ<br />สารเคมีปนเปื้อนในดิน เป็นต้น ในการป้องกันและแก้ปัญหานั้น ทุกคนในชุมชนจะต้องร่วมมือร่วมใจกัน<br />และต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน<br />4) ครูอธิบายเนื้อหา เรื่อง การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในหนังสือเรียน<br />และให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม<br />4. ขั้นขยายความรู้<br />ครูมอบหมายงานให้นักเรียนไปค้นคว้า เรื่อง ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม<br />ระดับประเทศ พร้อมทั้งสืบค้นว่าปัญหาเหล่านั้นมีวิธีการแก้ไขอย่างไร และผลเป็นอย่างไรบ้าง โดยค้นคว้าจากเว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนต่าง ๆ เช่น กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพ สิ่งแวดล้อม และมูลนิธิพลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งรายงานการปฏิบัติการของหน่วยงานต่าง ๆ หรืองานวิจัยของนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น จากนั้นจัดทำเป็นรายงานส่ง<br />นอกจากนี้ครูอาจจะให้นักเรียนเผยแพร่ผลการปฏิบัติการโครงงาน โดยการจัดป้ายนิเทศหรือ<br />นิทรรศการ เป็นต้น<br />5. ขั้นประเมิน<br />1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใด<br />บ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ<br />2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการ<br />แก้ไขอย่างไรบ้าง<br />3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม<br />4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น<br />– ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรดินมีอะไรบ้าง<br />– สาเหตุของมลพิษทางอากาศเกิดจากกิจกรรมใดบ้าง<br />– นักเรียนอธิบายกลยุทธ์ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้หรือไม่ อย่างไร<br />ขั้นสรุป<br />ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปสาระสำคัญ เรื่อง การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากการปฏิบัติกิจกรรมและที่ได้เรียนรู้<br /><br /><br />การจัดการเรียนรู้ครั้งที่ 15 การพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เวลา 2 ชั่วโมง<br />จุดประสงค์การเรียนรู้<br />1. อธิบายความหมายของการพัฒนา การพัฒนาที่ยั่งยืน และการอนุรักษ์ได้<br />2. เสนอแนวคิดในการดูแลรักษาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้<br />3. จัดทำโครงการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดี และร่วมมือกับชุมชนในการปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้<br />ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน<br />1. ครูทบทวน เรื่อง การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติกิจกรรม<br />พัฒนากร–พัฒนาการ ที่นักเรียนได้ปฏิบัติไปแล้ว แล้วตั้งประเด็นคำถามเพื่อนำไปสู่ประเด็นการอภิปราย ดังนี้<br />– การพัฒนาลักษณะใดที่เรียกว่า การพัฒนาที่ยั่งยืน<br />– การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติตามความคิดของนักเรียนหมายถึงอะไร<br />– การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีผลดีเสมอไปหรือไม่<br />เพราะเหตุใด<br />2. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตอบคำถามและแสดงความคิดเห็น เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การจัดการ<br />เรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม<br />ขั้นสอน<br />จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้<br />1. ขั้นสร้างความสนใจ<br />ครูชักนำนักเรียนให้เห็นว่า สามารถรณรงค์ให้สมาชิกในชุมชนได้เห็นความสำคัญของการ<br />เสริมสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต โดยการจัดทำโครงการดังต่อไปนี้<br />2. ขั้นสำรวจและค้นหา<br />1) แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มเท่า ๆ กัน ให้แต่ละกลุ่มศึกษาใบงานที่ 17 หรือกิจกรรมที่ 17 เรื่อง การเสริมสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและคุณภาพชีวิตที่ดี ในหนังสือเรียน<br />2) นักเรียนแต่ละกลุ่มปรึกษาหารือกันเพื่อเลือกทำโครงการที่มีส่วนในการรณรงค์และแก้ไข<br />ปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนที่นักเรียนอาศัยอยู่ เมื่อเลือกโครงการได้แล้วแจ้งให้ครูได้ทราบ<br />3) นักเรียนแต่ละกลุ่มระดมความคิด ศึกษาค้นคว้า อภิปราย และช่วยกันคิดวางแผนจัด<br />ทำโครงการ จากนั้นเขียนแผนหรือเค้าโครงของโครงการตามหัวข้อที่กำหนดให้ในหนังสือปฏิบัติการ โดย<br />ครูจะต้องดูแลและให้คำปรึกษากับนักเรียนอย่างใกล้ชิด<br />4) ลงมือปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้ในเค้าโครงของโครงการ พร้อมทั้งบันทึกผลการปฏิบัติ<br />ประเมินผลการปฏิบัติ และสรุปผลของโครงการ<br />3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป<br />1) นำผลการดำเนินโครงการของแต่ละกลุ่มมาอภิปรายร่วมกันที่ชั้นเรียน โดยในการอภิปรายนั้นนอกจากหัวข้อที่กำหนดในโครงการแล้ว ครูควรจะซักถามถึงปัญหาและอุปสรรคในระหว่างลงมือปฏิบัติตามแผนโครงการ และนักเรียนได้แก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นนั้นอย่างไร<br />2) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลการปฏิบัติโครงการ ซึ่งควรจะได้ข้อสรุป ดังนี้<br />– การพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นจะต้องเป็นการพัฒนาที่มีการคำนึงถึงความเสียหายของสิ่งแวดล้อม มีการป้องกันปัญหาที่เกิดแก่สิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม เพราะถึงแม้จะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากเพียงใด แต่สิ่งแวดล้อมกลับเสื่อมโทรม ประชาชนก็ไม่สามารถที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนั้นประชาชนทุกคนจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันรักษาสิ่งแวดล้อม<br />– แนวทางปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนมีดังนี้<br />(1) การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม<br />(2) การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ<br />(3) การหลีกเลี่ยงความล้มเหลวของกลไกรัฐที่เกี่ยวข้อง<br />(4) การรักษาทางเลือกสำหรับอนาคต<br />(5) หยุดการเจริญเติบโตของประชากร<br />(6) การกระจายความมั่นคงให้แก่กลุ่มที่ยากจน<br />(7) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติ<br />3) ครูอธิบาย เรื่อง การพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาที่ยั่งยืนใน<br />หนังสือเรียนแล้วให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม<br /><br />4. ขั้นขยายความรู้<br />ครูยกตัวอย่างการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมในลักษณะโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการคัดแยก<br />ขยะก่อนทิ้ง และโครงการคลองสวยน้ำใส เป็นต้น<br />5. ขั้นประเมิน<br />1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใด<br />บ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ<br />2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการ<br />แก้ไขอย่างไรบ้าง<br />3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม<br />4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น<br />– การพัฒนากับการพัฒนาที่ยั่งยืนต่างกันในเรื่องใด<br />– แนวทางปฏิบัติที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนมีอะไรบ้าง<br />– ขยะชนิดใดบ้างที่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก (reuse)<br />– นักเรียนมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร<br />ขั้นสรุป<br />ครูและนักเรียนร่วมกันสรุป เรื่อง การพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จากการปฏิบัติโครงการ<br />และที่ได้เรียนรู้<br /><br />ครูตรวจสอบความรู้ ความเข้าใจ และพัฒนาการของนักเรียน โดยให้ทำแบบทดสอบหลังเรียน เมื่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เสร็จสิ้น<br /><br />กระบวนการวัดและประเมินผล<br />1. วิธีการวัด<br />- การทดสอบด้วยแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน<br />- ปฏิบัติกิจกรรมสืบค้นข้อมูล (กระบวนการกลุ่ม)<br />- อภิปรายกลุ่มย่อยและนำเสนอผลงาน<br />- ตรวจผลงาน<br />2. เครื่องมือวัด<br />- แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน<br />- แบบบันทึกผลจากการสังเกตการปฏิบัติงานกลุ่ม (แบบสังเกต 1)<br />- แบบบันทึกผลจากการสังเกตด้านทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ (แบบสังเกต 2)<br />- แบบบันทึกผลจากการประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์ (แบบประเมิน 1)<br />- แบบประเมินรายงานการค้นคว้า (แบบประเมิน 3)<br />- แบบประเมินโครงงาน (แบบประเมิน 4)<br />กิจกรรมเสริมการเรียนรู้<br />1. นักเรียนศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม เรื่อง ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระดับประเทศจากรายงานการปฏิบัติการของหน่วยงานต่าง ๆ งานวิจัยของนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง เว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนต่าง ๆ เช่น กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และมูลนิธิพลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น แล้วจัดทำรายงานส่งครู<br />2. ดูวีดิทัศน์เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดจากการเพิ่มประชากร<br />3. ครูยกตัวอย่างการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมในลักษณะโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง โครงการคลองสวยน้ำใส เป็นต้น<br />4. นักเรียนเลือกทำโครงงานต่อไปนี้ (เลือก 1 ข้อ)<br />1) โครงงานสำรวจข้อมูล เรื่อง อัตราการเพิ่มของประชากรในชุมชน<br />2) โครงงานศึกษาค้นคว้า เรื่อง การจัดการทรัพยากรธรรมชาติในชุมชน<br />3) โครงงานศึกษาค้นคว้า เรื่อง การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทย<br />สื่อ/แหล่งการเรียนรู้<br />1. วีดิทัศน์เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดจากการเพิ่มประชากร<br />2. แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน<br />3. สื่อ สิ่งพิมพ์ และเว็บไซต์ต่าง ๆ ทางอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวข้อง<br />4. อุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษาแต่ละกิจกรรม<br />5. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เล่ม 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 บริษัท<br />สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช จำกัด<br />6. หนังสือปฏิบัติการสาระการเรียนรู้พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เล่ม 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 บริษัทสำนักพิมพ์วัฒนาพานิช จำกัด<br />7. ห้องสมุด<br />8. แบบสังเกต 1-2<br />9. แบบประเมิน 1, 3 และ 4<br />บันทึกผลการจัดการเรียนรู้<br />1. ความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้<br />แนวทางการพัฒนา<br />2. ปัญหา/อุปสรรคในการจัดการเรียนรู้<br />แนวทางแก้ไข<br />3. สิ่งที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแผน<br />เหตุผล<br />4. การปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้<br /><br />แบบทดสอบหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ชีวิตและสิ่งแวดล้อม<br />ตอนที่ 2 ประชากรและทรัพยากรธรรมชาติ<br />คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว<br />1. ผลกระทบอันดับแรก จากการเพิ่มของประชากรมนุษย์อย่างรวดเร็ว คือ<br />ก ปัญหาทางสังคม<br />ข ปัญหาด้านการศึกษา<br />ค ปัญหาด้านการว่างงาน<br />ง ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ<br />2. มนุษย์ควรใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไรจึงจะเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด<br />ก ใช้ตามความต้องการ<br />ข ใช้อย่างระมัดระวังที่สุด<br />ค ใช้เฉพาะทรัพยากรหมุนเวียน<br />ง นำทรัพยากรมาพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิต<br />3. ป่าไม้และสัตว์ป่าจัดเป็นทรัพยากรประเภทใด<br />ก ทรัพยากรหมุนเวียน<br />ข ทรัพยากรทดแทนได้<br />ค ทรัพยากรที่ใช้ไม่หมดสิ้น<br />ง ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปและทดแทนไม่ได้<br />4. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหามลภาวะของดิน<br />ก การตัดไม้ทำลายป่า<br />ข การไถพรวนดินไม่ถูกวิธี<br />ค การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช<br />ง การปลูกพืชหมุนเวียนจำพวกพืชตระกูลถั่ว<br />5. แก๊สในข้อใดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก<br />ก คาร์บอนไดออกไซด์<br />ข คาร์บอนมอนอกไซด์<br />ค ซัลเฟอร์ไดออกไซด์<br />ง ไนโตรเจนไดออกไซด์กฤติกา ลักษโณสุรางค์http://www.blogger.com/profile/17448141565670676609noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8045353509991666019.post-35045591658683574212009-05-23T19:39:00.000-07:002009-05-23T19:49:17.849-07:00<div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8JBM03HSrwQQ2N-oz4brIJ1weslqgmq9rAvZGpnYxw4Syo_nh-72-s7gpsMjZ51xKAm6cP_c4NxcSn3NCm4WKWqVYNF76Ta4iR2FfW6zD1fZxVKwJF14JAK0HU64dAiAHET9T6y2fpUw/s1600-h/Water+lilies.jpg"></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7_PoaPEkN0Wej2vlCDOXY1aXc0ooUw6ma-s9gynFc8-6yfrqnX0TlQzpismXziJpP6DpL5qmw8V7lufGgsrMvNfnmry1U0nWO9WxXyg6AZb2Z-gAiN-9LZB1P-PQbzgDE9jg1G9S0hQ4/s1600-h/images[26].jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5339216673371175330" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 159px; CURSOR: hand; HEIGHT: 116px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7_PoaPEkN0Wej2vlCDOXY1aXc0ooUw6ma-s9gynFc8-6yfrqnX0TlQzpismXziJpP6DpL5qmw8V7lufGgsrMvNfnmry1U0nWO9WxXyg6AZb2Z-gAiN-9LZB1P-PQbzgDE9jg1G9S0hQ4/s320/images%5B26%5D.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><strong>นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศการศึกษา<br /></strong>การใช้เทคโนโลยี<br />วิชาการที่ว่าด้วยการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในกิจการด้านต่างๆ เรียกกันว่า "วิทยาศาสตร์ประยุกต์" หรือนิยมเรียกกันทั่วไปว่า "เทคโนโลยี" (Technology) เทคโนโลยีจึงเป็นการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในกิจการด้านต่างๆเฉพาะทาง เช่น การใช้เทคโนโลยีทางการสื่อสาร การแพทย์ การทหาร การศึกษา เป็นต้น<br />การใช้เทคโนโลยี<br />- <strong>เทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม</strong> นับว่าเป็นเทคโนโลยี ที่มีความก้าวหน้า อย่างเห็นได้ชัดที่สุดเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคมที่สำคัญอย่างหนึ่งในยุคปัจจุบันคือ การใช้คอมพิวเตอร์เก็บบันทึกข้อมูล ซึ่งสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง มีเครือข่าย อินเตอร์เน็ต (Internet) เชื่อมโยงข้อมมูลได้ถึงกันทั่วโลก การใช้เทคโนโลยีในลักษณะนี้บางครั้งเรียกว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที (IT:Information Technology)<br />-<strong> เทคโนโลยีการทหาร</strong> การประดิษฐ์ด้านอาวุธ มีการพัฒนาการไปมากอย่างที่เราทั้งหลายคาดไม่ถึง อาวุธที่ใช้ในการต่อสู้ทุกชนิด พัฒนาขึ้น มีอำนาจการทำลายล้าง ความแม่นยำ รัศมีทำการไกล<br />- เทคโนโลยีการเกษตร การเกษตรในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาไปอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการประดิษฐ์คิดค้น เครื่องทุ่นแรงทางการเกษตร เทคนิควิธีการปรับปรุง และขยายพันธ์พืช พันธุ์สัตว์การเพื่มปริมาณการผลิต นับว่าเทคโนโลยีทางเกษตร ได้ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนอาหารลงได้มาก<br />- <strong>เทคโนโลยีการศึกษา</strong> มีการนำเทคโนโลยีไปใช้งานได้หลายรูปแบบ ทั้งในทางการบริหารและการเรียนการสอน เมื่อกล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา (Education Technology) มักจะหมายถึงการใช้เทคโนโลยีที่มีเป้าหมายด้านการเรียนการสอน (Instructional Technology) ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีใน<strong>ลักษณะใหญ่ๆ 5 ลักษณะ</strong> ดังนี้<br />1.เทคโนโลยีการพิมพ์<br />2.เทคโนโลยีโทรคมนาคมรวมถึงโทรทัศน์ วิทยุ และการสื่อสารรูปแบบอื่นๆ<br />3.ภาพยนตร์และโทรทัศน์ วีดีทัศน์ หรือสื่ออื่นๆที่แสดงภาพเคลื่อนไหวและเสียง<br />4.เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ<br />5.การเชื่อมโยงวิทยาการและเทคโนโลยีสาขาต่างๆมาใช้<br /><strong>ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา<br />นักการศึกษาได้ให้ความหมายไว้หลายลักษณะ</strong> โดยสังเขปดังนี้<br />พจนานุกรมการศึกษา (Dictionary of Education) ได้ให้ความหมายว่า "การนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อการออกแบบและส่งเสริมระบบการเรียนการสอน โดยเน้นที่จุดประสงค์ทางการศึกษาที่สามารถวัดได้อย่างถูกต้องแน่นอน โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมากกว่ายึดเนื้อหาวิชาใช้การศึกษาเชิงปฏิบัติโดยผ่านการวิเคราะห์และการใช้เครื่องมือโสตทัศนูปกรณ์ รวมถึงเทคนิคการสอนโดยใช้อุปกรณ์การสอนต่างๆในลักษณะของสื่อประสม และการศึกษาด้วยตนเอง" เทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นการขยายแนวความคิดเกี่ยวกับโสตทัศนศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขี้น<br />สรุป เทคดนโลยีทางการศึกษาเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีทางการศึกษา หมายถึงการนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงหลักทางการจิตวิทยา มาใช้ปกิบัติในการแก้ปัญหาทางการศึกษา ทั้งด้านการบริหารและการเรียนการสอน ซึ่งครอบคลุมองค์ประกอบ 3 ประการคือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ<br />เทคโนโลยีการสอน (Instructional Technology) เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีการศึกษา ซึ่งหมายถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน<br />แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา การเปลี่ยนแปลงการศึกษาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นผลมาจาก<strong>องค์ประกอบ 3 ประการ</strong> ดังนี้<br />1.ปัญหาหรือวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และแนวดน้มของปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต<br />2.เอกลักษณ์ ค่านิยม และเจตคติในปัจจุบัน รวมถึงแนวโน้ม<br />3.ความรู้และเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน และที่มีขึ้นในอนาคต<br /><strong>แนวทางการปฏิรูปการศึกษา</strong><br />1.ปฏิรูประบบและกระบวนการเรียนรู้<br />2.ปฏิรูประบบการจัดการศึกษาให้เป็นระบบการศึกาตลอดชีวิต<br />3.การปฏิรูปการฝึกหัดครู การพัฒนาครู<br />4.การปฏิรูประบบการบริหารการจัดการด้านการศึกษา</div><br /><div><a href="http://learners.in.th/blog/supitsangpai/167681">http://learners.in.th/blog/supitsangpai/167681</a></div></div>กฤติกา ลักษโณสุรางค์http://www.blogger.com/profile/17448141565670676609noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8045353509991666019.post-36470161945011531632009-05-23T19:32:00.000-07:002009-05-23T19:38:02.049-07:00นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา<strong>เทคโนโลยีการศึกษา<br /></strong>คำว่า "<em><strong>เทคโนโลยี”(</strong></em>Technology) มาจากรากศัพท์ "Technic" หรือ "Techno" ซึ่งมีความหมายว่า วิธีการ หรือการจัดแจงอย่างเป็นระบบ รวมกับ "logy" ซึ่งแปลว่า “ศาสตร์” หรือ “วิทยาการ” ดังนั้น คำว่า "<strong><em>เทคโนโลยี"</em></strong> ตามรากศัพท์จึงหมายถึง ศาสตร์ว่าด้วยวิธีการหรือศาสตร์ที่ว่าด้วยการจัดการ หรือการจัดแจงสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดระบบใหม่และเป็นระบบที่สามารถนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ที่ตั้งใจไว้ได้ ซึ่งก็มีความหมายตรงกับความหมายที่ปรากฏในพจนานุกรม คือ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ดังนั้น เทคโนโลยีการศึกษาจึงเป็นการจัดแจงหรือการประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์กายภาพมาใช้ในกระบวนการของการศึกษา ซึ่งเป็นพฤติกรรมศาสตร์ โครงสร้างมโนมติของเทคโนโลยีการศึกษาจึงต้องประกอบด้วย มโนมติทางวิทยาศาสตร์กายภาพ มโนมติทางพฤติกรรมศาสตร์ โดยการประสมประสานของมโนมติอื่นที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น การประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์กายภาพทางวิศวกรรมและทางเคมีได้เครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์ สามารถผลิตหนังสือตำราต่างๆ ได้ และจากการประยุกต์หลักพฤติกรรมศาสตร์ทางจิตวิทยา จิตวิทยาการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้และหลักความแตกต่างระหว่างบุคคล ทำให้ได้เนื้อหาในลักษณะเป็นโปรแกรมขั้น ย่อย ๆ จากง่ายไปหายาก เมื่อรวมกันระหว่างวิทยาศาสตร์กายภาพและพฤติกรรมศาสตร์ในตัวอย่างนี้ ทำให้เกิดผลิตผลทางเทคโนโลยีการศึกษาขึ้น คือ "ตำราเรียนแบบโปรแกรม"<br />อีกตัวอย่างหนึ่งการประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพเกี่ยวกับแสง เสียงและอิเล็กทรอนิกส์บนพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ใช้ระบบเลขฐานสองทำให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อประสมประสานกับผลการประยุกต์ทาง พฤติกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนรู้ หลักความแตกต่างระหว่างบุคคล หลักการวิเคราะห์งาน และทฤษฎีสื่อการเรียนการสอนแล้วทำให้ได้ผลผลิตทางเทคโนโลยีการศึกษา คือ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)<br />จากข้อพิจารณาดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษามีสองลักษณะที่เน้นหนักแตกต่างกัน คือ<br />1. <strong>เทคโนโลยีการศึกษา</strong> หมายถึง การประยุกต์หลักการวิทยาศาสตร์กายภาพและวิศวกรรมศาสตร์ให้เป็นวัสดุ เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการเสนอ แสดง และถ่ายทอดเนื้อหาทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความหมายนี้พัฒนามาจากความคิดของกลุ่มนักโสต-ทัศนศึกษา<br />2. <strong>เทคโนโลยีการศึกษามีความหมายโดยตรงตามความหมายของเทคโนโลยี</strong> คือ ศาสตร์แห่งวิธีการ หรือการประยุกต์วิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษา โดยคำว่า”วิทยาศาสตร์”ในที่นี้มุ่งเน้นที่วิชาพฤติกรรมศาสตร์ เพราะถือว่าพฤติกรรมศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งเช่นเดียวกับวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา เป็นต้น<br /><strong>เทคโนโลยีการศึกษามีความสำคัญและมีความจำเป็นที่เด่นชัดในปัจจุบันนี้</strong> คือ การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ในกระบวนการศึกษาด้วยเหตุผลสำคัญดังต่อไปนี้<br />1. <strong>ความเจริญอย่างรวดเร็วทางด้านวิชาการต่างๆ</strong> ของโลก โดยเฉพาะระยะหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา วิทยาการใหม่ ๆ และสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ได้ถูกค้นคิดประดิษฐ์ขึ้นมาใช้ในสังคมมากมายเป็นทวีคูณ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวทางด้านหลักสูตรการเรียนการสอนของสถานศึกษา และส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อไปถึงปัญหาการเรียนการสอน การเลือกโปรแกรมและการทำความเข้าใจกับเนื้อหาสาระใหม่ๆ ของนักเรียน ความรุนแรงและความสลับซับซ้อนของปัญหาเหล่านี้มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปริมาณเนื้อหาวิชาการใหม่ ๆ มีมากมายเกินความสามารถของผู้เกี่ยวข้อง จะเลือกบันทึกจดจำและนำเสนอในลักษณะเดิมได้ จึงมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับสถานการณ์เข้ามาช่วย เช่น การเสนอข้อมูลทางวิชาการโดยเทปบันทึกเสียง เทปบันทึกภาพ ไมโครฟอร์ม และแผ่นเลเซอร์ การแนะแนวการเรียนโดยระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น<br />2.<strong> การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคม</strong> ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากพัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดังกล่าวมาแล้ว มีผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิต การปรับตัว และพัฒนาการของนักเรียน การแนะแนวส่วนตัวและสังคมแก่นักเรียน จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ จึงจะสามารถให้บริการครอบคลุมถึงปัญหาต่าง ๆ ได้<br />3. <strong>ลักษณะสังคมสารสนเทศหรือสังคมข้อมูลข่าวสาร</strong> ซึ่งเป็นผลมาจากพัฒนาการทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีโทรคมนาคม ทำให้ข่าวสารทุกรูปแบบ คือ เสียง ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว กราฟฟิก และข้อมูลคอมพิวเตอร์สามารถถ่ายทอดและส่งถึงกันได้อย่างรวดเร็วทุกมุมโลก สังคมในปัจจุบันและอนาคตจะเป็นสังคมที่ท่วมท้นด้วยกระแสข้อมูลและข่าวสาร<br />ข้อมูลและข่าวสารจำนวนมหาศาลจะอยู่ที่ความต้องการของผู้ใช้อย่างง่ายดายมาก ความจำเป็นที่สถานศึกษาจะต้องเป็นแหล่งให้ข้อมูลข่าวสารจะหมดความสำคัญลง การแนะแนวในสถานศึกษาจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากการทำตัวเป็นแหล่งให้ข้อมูลมาเป็นการแนะแหล่งข้อมูล แนะนำการเลือกและการใช้ข้อมูลในการแก้ปัญหาและการคิดสร้างสรรค์ ซึ่งบทบาทอย่างนี้จะทำให้สำเร็จได้ยากหากไม่สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศในปัจจุบัน<br />มีผู้ให้คำนิยามของคำว่า เทคโนโลยีการศึกษา (Educational Technology) ไว้ดังนี้<br />วิจิตร ศรีสอ้าน (วิจิตร ,2517)ห้ความหมายว่า เทคโนโลยีการศึกษาเป็นการประยุกต์เอาเทคนิควิธีการ แนวความคิด อุปกรณ์และเครื่องมือใหม่ๆ มาใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหาทางการศึกษาทั้งในด้านการขยายงานและด้าน<strong>การปรับปรุงคุณภาพของการเรียนการสอน</strong><br />นอกจากนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,2546)ยังได้สรุปเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนว่า "เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา" มีความหมายครอบคลุมการผลิต การใช้ และการพัฒนาสื่อสารมวลชน(อันได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์) เทคโนโลยีสารสนเทศ(คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต <a href="http://www.blogger.com/index.php?module=word&chapter=1#19">มัลติมีเดีย</a>) และโทรคมนาคม (โทรศัพท์ เครือข่ายโทรคมนาคมและการสื่อสารอื่นๆ) เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ได้ตามความต้องการของผู้เรียนในทุกเวลาและทุกสถานที่<br />ทบวงมหาวิทยาลัย (ทบวงมหาวิทยาลัย,2546) นิยามว่า "เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา" เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการศึกษา โดยการนำสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ โทรคมนาคม และการจัดแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ มาใช้เพื่อจัดให้การศึกษาที่สามารถผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าได้ตามความต้องการ เพื่อให้การเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตทั้งด้านการศึกษาสาระความรู้ทางวิชาการ ทางศาสนา และศิลปะ วัฒนธรรม สื่อเทคโนโลยีทางการศึกษาตามความหมายของทบวงมหาวิทยาลัยนั้น ครอบคลุมสื่อวิทยุกระจายเสียง สื่อวิทยุโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตโทรสาร โทรศัพท์ และโทรคมนาคมอื่นรวมทั้งแหล่งการเรียนรู้ทั่วไป โดยมุ่งเน้นที่จะส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้เต็มตามศักยภาพ ปราศจากข้อจำกัดด้านโอกาส ถิ่นที่อยู่ ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม<br />"<strong>เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา"</strong> ตามความหมายของร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาแห่งชาติ หมายถึง การนำสื่อตัวนำ คลื่นความถี่ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการแพร่เสียง ภาพ และการสื่อสารในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ทั้งการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมเพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยครอบคลุมสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ โทรคมนาคม สื่อโสตทัศน์ แบบเรียน ตำรา หนังสือทางวิชาการและแหล่งการเรียนรู้หรือเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอื่นตามที่คณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาแห่งชาติกำหนด<br /><strong>Carter V. Good(good,1973)</strong> กล่าวว่า <em>เทคโนโลยีการศึกษา</em>หมายถึง การนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อการออกแบบและส่งเสริมระบบการเรียนการสอน โดนเน้นที่วัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่สามารถวัดได้อย่างถูกต้องแน่นอน มีการยึดหลักผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนมากกว่ายึดเนื้อหาวิชามีการใช้การศึกษาเชิงปฏิบัติโดยผ่านการวิเคราะห์และการใช้โสตทัศนูปกรณ์รวมถึงเทคนิคการสอนโดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ สื่อการสอนต่างๆ ในลักษณะของสื่อประสมและการศึกษาด้วยตนเอง<br /><strong>Gagne' และ Briggs (gagne',1974)</strong>ให้ความหมายว่า เทคโนโลยีการศึกษานั้น พัฒนามาจากการออกแบบการเรียนการสอนในรูปแบบต่างๆ โดยรวมถึง<br />1.ความสนใจในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่องของการเรียนรู้ เช่น บทเรียน แบบโปรแกรม และ บทเรียนการสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย เป็นต้น<br />2.ด้านพฤติกรรมศาสตร์และทฤษฏีการเรียนรู้ เช่น ทฤษฏีการเสริมแรงของ B.F. Skinner<br />3.เทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ เช่น โสตทัศนูปกรณ์ประเภทต่างๆ รวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์ด้วย<br /><strong>Heinich,MolendaและRussel(Heinich,1989)</strong> เสนอว่า เทคโนโลยีการศึกษาคือการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ให้ปฏิบัติได้ในรูปแบบของการเรียนและการสอนอีกนัยหนึ่งก็คือ การใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (ทั้งด้าน<a href="http://www.blogger.com/index.php?module=word&chapter=1#28">ยุทธวิธี Tactic</a> และด้านเทคนิค) เพื่อแก้ปัญหาทางการสอนซึ่งก็คือความพยายามสร้างการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการออกแบบ ดำเนินการและประเมินผลการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ บนพื้นฐานของการศึกษาวิจัยในการเรียนและการสื่อสาร<br />กิดานันท์ มลิทอง(2545) ปัจจุบันนี้สมาคมเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและการสื่อสารได้ให้ความหมายว่า เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เป็นทฤษฏีและการปฏิบัติของการออกแบบ การพัฒนาการใช้ การจัดการ และการประเมิน ของกระบวนการและทรัพยากรสำหรับการเรียนรู้ดังภาพต่อไปนี้<br /><a href="http://www.nmc.ac.th/database/file_science/unit1.doc">http://www.nmc.ac.th/database/file_science/unit1.doc</a>กฤติกา ลักษโณสุรางค์http://www.blogger.com/profile/17448141565670676609noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8045353509991666019.post-88111407827969204052009-05-23T18:53:00.000-07:002009-05-23T19:13:42.567-07:00นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijryIbEagGWv5-hVwkKrv4vyLB3ZMZjQBOjbrHjJdZQOwJF8kyyjqfiYHjWnVN42jpd5A_Di4A4h7KbXYFL13FzW2aWnFDWNv-SYVh1PKp1DlxBZOJ356p5qDa4EfA6NcT9FwZYdFOI-4/s1600-h/246px-ChaiMongKolChedi.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5339202888194110594" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijryIbEagGWv5-hVwkKrv4vyLB3ZMZjQBOjbrHjJdZQOwJF8kyyjqfiYHjWnVN42jpd5A_Di4A4h7KbXYFL13FzW2aWnFDWNv-SYVh1PKp1DlxBZOJ356p5qDa4EfA6NcT9FwZYdFOI-4/s320/246px-ChaiMongKolChedi.jpg" border="0" /></a> นวัตกรรมการศึกษา<br />นวัตกรรม (Innovation) เป็นคำที่คณะกรรมการพิจารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ บัญญัติขึ้นเดิมใช้ นวกรรม มาจากคำกริยาว่า Innovate มาจากรากศัพท์ ภาษาอังกฤษว่า Inovare (in(=in)+novare= to renew, to modify) และnovare มาจากคำว่า novus (=new)<br />Innovate แปลตามรูปศัพท์ได้ว่า "ทำใหม่,เปลี่ยนแปลงโดยนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามา "Innovation = การทำสิ่งใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ที่ทำขึ้นมา (International Dictionary)<br />นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง การนำสิ่งใหม่ ๆ อาจเป็นแนวความคิด หรือ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย<br />นวัตกรรมทางการศึกษา (Educational Innovation) หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำรวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษาเพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียนและช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนใช้คองพิวเตอร์ช่วย การใช้วีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ(Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia) และอินเตอร์เน็ต เหล่านี้เป็นต้น<br />นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ<br />ระยะที่ 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับกาลสมัย<br />ระยะที่ 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทำอยู่ในลักษณะของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project)<br />ระยะที่ 3 การนำเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งจัดว่าเป็นนวัตกรรมขั้นสมบูรณ์<br />หลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณาว่าสิ่งใดคือ นวัตกรรม<br />1. เป็นสิ่งใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วน<br />2. มีการนำวิธีการจัดระบบ (System Approach) มาใช้พิจารณาองค์ประกอบทั้งส่วน ข้อมูลที่ใช้เข้าไปในกระบวนการและผลลัพธ์ให้เหมาะสมก่อที่จะทำการเปลี่ยนแปลง<br />3. มีการพิสูจน์ด้วยการวิจัยหรืออยู่ระหว่างการวิจัยว่าจะช่วยให้ดำเนินงานบางอย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น<br />4. ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งในระบบงานปัจจุบัน<br /> ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรม<br />1. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น - การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School) - แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book) - เครื่องสอน (Teaching Machine) - การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching) - การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School) - เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)<br />2. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องความพร้อม (Readiness) นวัตกรรมที่สนองแนว ความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น - ศูนย์การเรียน (Learning Center) - การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School) -การปรับปรุงการสอนสามชั้น (Instructional Development in 3 Phases)<br />3. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องการใช้เวลาเพื่อการศึกษา นวัตกรรมที่สนองแนวความคิด เช่น - การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling) - มหาวิทยาลัยเปิด (Open University) - แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book) - การเรียนทางไปรษณีย์<br />4. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องการขยายตัวทางวิชาการและอัตราการเพิ่มประชากรนวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น - มหาวิทยาลัยเปิด - การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์ - การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป - ชุดการเรียนกฤติกา ลักษโณสุรางค์http://www.blogger.com/profile/17448141565670676609noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8045353509991666019.post-14244796412788478812009-05-17T01:14:00.000-07:002009-05-17T01:15:20.783-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiGKADTe2_z8Q9YxjAOtG4XEq2H8BqSC7hWZIc9M_N_5CUeympLz3eTtjsjtOLNg2Ix9ePHVAIQxezpj-4WNVB_vEUIvoif4fqRUQFmA73nZsUid6AmymDVByNo9HcccOvYStjz1DEAkis/s1600-h/nggshow.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5336703404486685810" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiGKADTe2_z8Q9YxjAOtG4XEq2H8BqSC7hWZIc9M_N_5CUeympLz3eTtjsjtOLNg2Ix9ePHVAIQxezpj-4WNVB_vEUIvoif4fqRUQFmA73nZsUid6AmymDVByNo9HcccOvYStjz1DEAkis/s320/nggshow.jpg" border="0" /></a><br /><div></div><br /> ดูรูปสวย ๆกันนะกฤติกา ลักษโณสุรางค์http://www.blogger.com/profile/17448141565670676609noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8045353509991666019.post-60379243995629858092009-05-17T00:44:00.000-07:002009-05-17T00:47:01.202-07:00กฤติกา ลักษโณสุรางค์http://www.blogger.com/profile/17448141565670676609noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8045353509991666019.post-83000148096422770632009-05-17T00:29:00.000-07:002009-05-17T01:02:33.875-07:00สวัสดีเพื่อน ๆ กลุ่ม 3ทุกคนกฤติกา ลักษโณสุรางค์http://www.blogger.com/profile/17448141565670676609noreply@blogger.com0